รีวิวเว็บเรื่องเด๊นเด่น รีวิวเว็บ Gogoprint (เว็บโรงพิมพ์ออนไลน์) By uiblogaziner October 8, 20163334 views ShareTweet 0 ครั้งหนึ่งในชีวิตของ Graphic designer คงต้องมีประสบการณ์ส่งงานให้โรงพิมพ์เพื่อทำนามบัตรหรือไม่ก็โบว์ชัวร์ มันค่อนข้างยุ่งยากเลยล่ะ เพราะพวกเราต้องเริ่มจากกำหนดขนาดของสิ่งพิมพ์ เลือกสรรชนิดกระดาษและความหนาที่จะใช้พิมพ์ แถมยังต้องเลือกว่าจะให้เคลือบผิวลักษณะไหนอีก แล้วยิ่งชอบมาแบบว่าให้ออกแบบวันนี้จะเอาพรุ่งนี้อีก ก็ต้องโทรถามโรงพิมพ์ว่าทันไหมเพ่ ด้วยตัวเลือกที่มากมายเช่นนี้จึงเป็นเรื่องยุ่งยากพอตัวเลยครับ ซึ่งผมก็กำลังต้องดีลงานกับโรงพิมพ์อีกเช่นเคย นามบัตรที่จะสั่งพิมพ์ในการทดลองใช้งานเว็บไซต์ Gogoprint เนื่องจากว่าพึ่งเปิดเว็บร้านดนตรีใหม่ ผมจึงคิดว่าจะพิมพ์นามบัตรของร้าน (ชื่อ Rala Music ช่วยๆ กันอุดหนุนกันนะครับ ^0^) ช่างโชคดีเหลือเกิน วันหนึ่งผมได้รับเมลจากทีมงาน Gogoprint เพื่อให้ผมลองรีวิวเว็บนี้ดู โดยให้คูปอง 1,000 บ. ในการทดลองใช้บริการของบริษัทรีวิวครั้งนี้จึงเป็นการใช้งานจริงๆ ในฐานะยูสเซอร์คนหนึ่ง (User On Board) ที่ไม่มีการเสแสร้งแต่อย่างใด ก็คอมเมนต์และแนะนำกันตรงๆ ตามหลักการออกแบบ UI ที่ดี เพื่อการพัฒนาและเป็นประโยชน์ต่อยูสเซอร์และบริษัทด้วย ทำความรู้จักเว็บ Gogoprint หน้าแรกเว็บ Gogoprint.co.th เว็บ Gogoprint.co.th เป็นเว็บโรงพิมพ์ออนไลน์ที่คิดว่าน่าสนใจมากๆ เลยครับ คอนเซ็ปต์ของเว็บเลือกใช้สี CYMK ซึ่งเป็นแม่สีของธุรกิจการพิมพ์ มีบริการส่งฟรี สามารถประมาณการได้ว่าเราจะได้รับสินค้าวันไหนได้ด้วยล่ะ เมนูของเว็บ Gogoprint Navigation เมนูก็ทำออกมาเป็นไอคอนพร้อมข้อความสื่อให้เห็นภาพได้ดีเลยครับ ชัดเจนมาก กระดาษเคลือบเงา 300 กรัม from Gogoprint on Vimeo. ถ้าน้องๆ graphic designer ที่ยังไม่ค่อยรู้เรื่องสื่อสิ่งพิมพ์ เว็บนี้จะทำให้เราเข้าใจวงการอุตสาหกรรมการพิมพ์ได้ดีเลยครับ เพราะเค้าได้รวบรวมสื่อสิ่งพิมพ์ไว้เกือบทุกประเภท เช่น นามบัตร, การ์ดแต่งงาน, สติ๊กเกอร์ ฯลฯ แถมมีวิดีโอประกอบให้เราเห็นภาพด้วยว่า ถ้าเคลือบด้วยวิธีการนี้ จะเห็นความมันวาวของกระดาษเป็นอย่างไร เรียกได้ว่าเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้เรื่องงานพิมพ์ที่ใช้ได้เลยครับ (ขัอมูลพวกนี้จะแทรกอยู่ที่หน้าตอนเราเลือกสเปคของสิ่งพิมพ์บ้าง หรือคลิกดูที่ลิงค์ ศูนย์ช่วยเหลือ ตรงด้านบน) Popup คูปองส่วนลด เมื่อเข้าหน้าเว็บในครั้งแรก หรือกดที่ลิงค์ รับส่วนลด 20% บริเวณด้านบนของเว็บไซต์ ช่วงนี้สำหรับลูกค้าใหม่ทั่วไป ลงทะเบียนก็จะได้รับคูปองส่วนลด 20% ส่วนตัวผมได้คูปอง 1,000 บ. จากทีมงานแล้ว อย่าอิจฉากันนะ ヘ(= ̄∇ ̄)ノ อีเมลแจ้งกลับเมื่อทำการลงทะเบียนรับคูปองส่วนลด ลงทะเบียนเสร็จเราจะได้เมลยืนยันพร้อมคูปองโค้ดมาด้วย ดีจัง เอาล่ะครับ ด้วยภารกิจรีวิวเว็บในครั้งนี้ คือการสั่งพิมพ์นามบัตรของร้านของผม ดังนั้นผมจึงคลิกเลือกที่รูป นามบัตร อันแรกเลยตรง Navigation เมนู ขั้นตอนที่ 1 เลือกตัวเลือกของคุณ หน้าตัวเลือกการพิมพ์นามบัตร เมื่อเข้าสู่หน้าการพิมพ์นามบัตร ขั้นตอนแรกเราต้องเลือกสเปคของนามบัตรกันก่อนเลย บล็อคด้านขวาจะเป็นข้อมูลสรุปตัวเลือกนามบัตรของเราล่ะ แสดงตัวเลือกรูปแบบขนาด ผมเลือกที่ช่องรูปแบบเพื่อกำหนดขนาดของนามบัตร ซึ่งงงๆ นิดๆ เพราะ ตัวเลือกค่า default ตอนแรกคือ 8.5 x 5.5 ซม. แต่ในตัวเลือกบอกว่าขนาด 9 x 5.5 ซม. เป็นตัวเลือกยอดนิยม โดยส่วนตัวแล้ว ในเมื่อขนาด 9 x 5.5 ซม. เป็นขนาดมาตรฐาน ทำไมไม่เลือกให้เป็นค่า Default ในตอนแรกเลยล่ะ? เพราะก่อนออกแบบผมก็ลองหาข้อมูลว่านามบัตรทั่วไปเค้าพิมพ์ขนาดไหนกัน ซึ่งผมก็ทำ artwork ขนาด 9 x 5.5 ซม. มานั่นแหละ ในกรณีไม่มีตัวเลือกขนาดที่เราต้องการ ก็สามารถกำหนดขนาดของนามบัตรได้เองด้วยการคลิกที่ปุ่ม ‘กำหนดขนาดเอง’ การกำหนดขนาดเอง จากนั้นจะมีช่องให้เรากรอกค่าขนาด พอเอาเมาส์เพื่อกรอกค่าตัวเลข จะมีลูกศรเกินมา ทีมงานอาจต้องเก็บงานนิดหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นใหญ่อะไร เพราะฟังก์ชันหลักๆ ก็ยังทำงานได้อยู่ครับ กรอกครบทั้ง 2 ค่า อย่าลืมกดที่ปุ่ม ‘เครื่องหมายถูก’ ด้วยนะครับ ตรงนี้แหละที่ผมคิดว่ามันอาจไม่ค่อยชัดเจนเท่าไรนักสำหรับยูสเซอร์ ขนาดที่กำหนดเองจะแสดงใน drop down list เมื่อกดยืนยัน กดเสร็จ เราก็จะเห็นขนาดที่เรากำหนดเองเข้าไปอยู่ในตัวเลือกรูปแบบ ผมลองคิดออกแบบตัวเลือก UI ในส่วนของการเลือกขนาดนามบัตรนี้ดู ก็ได้ออกมาเป็น Mockup ตามภาพด้านล่างนี้ ตัวอย่าง mockup ที่นำเสนอสำหรับการทำ UI กรณียูสเซอร์เลือก กำหนดขนาดเอง (คลิกเพื่อดูภาพขยาย) Mockup ที่ผมนำเสนอคือ หมายเลข 1– ให้ค่า default เป็น 9 x 5.5 ซม. โดยมีวงเล็บไว้เลยว่าเป็นขนาดมาตรฐาน หมายเลข 2 – หากต้องการกำหนดขนาดเอง ก็ให้กดที่ปุ่ม ‘กำหนดขนาดเอง’ จากนั้นก็จะมีช่องให้กรอกค่าขนาด โดยสีปุ่ม ผมใช้เป็นสีเหลืองและเขียนว่า ‘ใช้ขนาดนี้’ เพื่อให้ชัดเจนกว่าปุ่มเดิมที่เป็นเครื่องหมาย ‘ติ๊กถูกบนพื้นสีฟ้า’ ครับ ให้สังเกตว่าตัวเลือก dropdown list ก็จะเปลี่ยนเป็น ‘กำหนดขนาดเอง’ ด้วย หมายเลข 3 – ดังนั้นการกำหนดขนาดเอง เราสามารถทำได้ด้วยการกดปุ่ม หรือเลือกตัวเลือก ‘กำหนดขนาดเอง’ จาก dropdown list ก็ได้ครับ หมายเลข 4 – พอยืนยันขนาดด้วยการคลิกปุ่ม ‘ใช้ขนาดนี้’ ก็แสดงเป็นข้อมูลขนาด พร้อมลิงค์ให้แก้ไขขนาดไว้อยู่ข้างๆ ยังไงทีมงานลองนำไปพิจารณาดูนะครับ ตัวเลือกพิมพ์หน้าเดียวหรือสองด้าน ผมเลือกแล้วว่าจะพิมพ์ขนาด 9 x 5.5 ซม. ต่อไปผมก็ดูว่าจะพิมพ์นามบัตรด้านเดียวหรือสองด้าน ส่วนตัวผมเห็นว่า ค่า Default พิมพ์หน้าเดียว น่าจะอยู่ด้านซ้ายนะ แล้วพิมพ์หน้าหลังมาอยู่ด้านขวา มันน่าจะดูเข้าใจง่ายกว่าครับ ขั้นตอนนี้ผมเลือกพิมพ์หน้าเดียวล่ะ ตัวเลือกประเภทกระดาษ ค่า default ประเภทกระดาษเช่นกัน (คือค่าอาร์ตมัน 300 แกรม) ที่ไม่ได้ใช้ตัวเลือกยอดนิยมมาเป็นค่า default ในตัวเลือกนี้ผมก็เลยเลือกพิมพ์เป็นกระดาษอาร์ตมัน 230 แกรมก่อน ตัวเลือกการเคลือบ เนื่องจากตัวเลือกการเคลือบ ตัวเลือกแรกคือ ‘ไม่มี’ ซึ่งเป็นตัวเลือกยอดนิยม ทำให้บังเอิญถูกเลือกมาเป็นค่า default พอดี ข้อนี้ผมก็เลยเลือกไม่เคลือบไปก่อน ขั้นตอนที่ 2 เลือกจำนวนและความเร็วในการจัดส่ง ตัวเลือกจำนวนและราคา พอมาถึงส่วนเลือกจำนวนการพิมพ์ อันนี้ผมเห็นว่าเป็นไฮไลท์ของเว็บนี้เลยครับ เพราะมันทำให้เราเห็นเลยว่า ถ้ายิ่งเราสั่งจำนวนมากขึ้นราคาต่อชิ้นก็จะถูกลงอย่างมาก อีกทั้งยังรู้ได้ว่า เราจะได้สินค้าวันไหน ถ้างานเร่งก็ต้องจ่ายแพงกว่าปกติประมาณ 30% ซึ่งจากสเปคกระดาษที่ผมได้เลือกไปก่อนหน้า รู้สึกว่ายังเหลือเงินจากคูปองอีกเยอะ ผมเลยกลับไปขั้นตอนก่อนหน้า แล้วเลือกพิมพ์เป็นกระดาษอาร์ตมัน 260 แกรม และทำการเคลือบด้าน โดยสั่งพิมพ์จำนวน 500 ใบ ได้ราคา 930 บ. ตามภาพด้านบนเลยครับ (เค้าให้มาแล้ว เอาให้คุ้ม (^_^)) ตารางนี้จึงช่วยประมาณการงบประมาณเรื่องงานพิมพ์ที่มีปัจจัยเรื่องสเปคกระดาษและจำนวนสั่งพิมพ์ได้ดีมากๆ จริงๆ ครับ ผมพอใจกับราคา 930 บ. กับจำนวนนามบัตรที่จะได้ 500 ใบ ผมจึงเลือกที่ตัวเลือกนี้ ทันทีที่เลือก ก็จะมี popup ขึ้นมาเพื่อเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนที่ 3 ขั้นตอนที่ 3 Finalise Your Options (สรุปตัวเลือกของคุณ) Popup ขั้นตอนที่ 3 เพื่อสรุปสเปคงานพิมพ์ ในขั้นตอนนี้เราต้องเลือกรูปแบบไฟล์ที่จะส่งพิมพ์ และเลือกว่าจะให้ทาง Gogoprint ทำการพิมพ์ proof สีออกหรือเปล่า ด้านขวามีสรุปราคาอีกทีซึ่งมีแสดงภาษีมูลค่าเพิ่มและราคาสุทธิที่เราต้องจ่ายเพิ่มเข้ามา ด้านล่างเป็นข้อตกลงและเงื่อนไข ซึ่งผมว่ายูสเซอร์ทั่วไปคงไม่ได้อ่านแน่ๆ น่าจะเอาไปไว้ในขั้นตอนท้ายๆ เลยนะครับ อย่างเรืองการอัพโหลดไฟล์ ก็ไปไว้ในขั้นตอนอัพโหลดไฟล์เลยดีกว่า แสดงไว้ขั้นตอนนี้ดูไม่ค่อยถูกเวลาสักเท่าไรครับ ยูสเซอร์ความจำสั้นนะครับ จำกฎข้อนี้ไว้ให้ดีๆ นะ ตัวเลือกรูปแบบไฟล์และการตรวจสอบไฟล์ หากต้องการส่งไฟล์เป็น format อื่นที่ไม่ใช่ PDF ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนะ เช่นเดียวกันถ้าต้องการปรูฟสีก็เสียเงินเพิ่ม 800 บ. ล่ะ ถ้าใครยังไม่มี artwork ก็จ้างให้ทีมงานทำก็ได้ ในราคา 3,000 บ. ผมเลือกรูปแบบไฟล์ PDF และตรวจสอบไฟล์แบบธรรมดา จึงไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มในขั้นตอนนี้ครับ จากนั้นก็กดปุ่ม ‘หยิบใส่ตะกร้า’ เลย ภายในรถเข็น หน้า shopping cart มาถึงขั้นตอนนี้ ผมรีบมองหาก่อนเลยว่าจะใส่คูปองโค้ดได้ที่ตรงไหน ก็หาได้ไม่ยาก ผมก็ทำการก๊อปปี้โค้ดในเมลที่ได้รับจากทีมงาน แล้วมาวางที่ช่อง ‘รหัสส่วนลด’ กดปุ่มสีเหลือง ‘นำไปใช้’ การแสดงผลราคาเมื่อมีการใช้คูปอง หากรหัสส่วนลดใช้ได้ แถบแจ้งเตือนสีเขียวก็จะขึ้นมา และราคาใหม่ก็จะถูกอัพเดท ในกรณีนี้ผมเลยได้พิมพ์งานฟรีเลย ไม่ต้องลังเลแล้ว ผมเลยเลือกกดปุ่ม ‘ดำเนินการชำระเงิน’ เลย เช็คเอาท์จุดที่ 1: เข้าสู่ระบบ ตัวเลือกเข้าสู่ระบบและตัวเลือกสมัครสมาชิก เข้าสู่โซนปราบเซียน นั่นก็คือ ส่วนที่เว็บ e-commerce เรียกว่า ‘หน้าเช็คเอาท์’ ซึ่งหน้าด่านของเว็บนี้คือ การให้ยูสเซอร์เข้าสู่ระบบ หากไม่มี account ก็ทำการสมัครสมาชิกซะ บางทีอาจจะลองเพิ่มตัวเลือกที่ว่า ไม่จำเป็นต้องสมัครสมาชิกก็สั่งซื้อได้ (Checkout as a guest) จะได้ลดขั้นตอนที่ให้ยูสเซอร์สร้างรหัสผ่าน และสร้างความรู้สึกที่ไม่ได้เป็นการบังคับให้ทำมากจนเกินไปครับ แน่นนอนว่ากรณีนี้ ลูกค้าใหม่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากต้องสมัครสมาชิก ซึ่งมีการแสดงข้อดีไว้ให้ยูสเซอร์ได้เห็นประโยชน์จากการสมัครสมาชิกนี้ ทำถูกต้องเลยครับ เช็คเอาท์จุดที่ 2: การวางบิล ฟอร์มที่อยู่การออกใบเสร็จ ในขั้นตอนกรอกข้อมูลที่อยู่การจัดส่งใบเสร็จ ตัวเลือก ‘บริษัท’ ได้ถูกนำเป็นค่า Default สำหรับผมจึงต้องเลือกให้เป็น ‘บุุคคล’ ฟอร์มสำหรับลูกค้าประเภทบุคคล พอเห็นฟอร์มที่ต้องกรอก ดูๆ แล้วก็ยาวเหมือนกันนะครับ Gogoprint เลือกใช้การแบ่งข้อมูลออกเป็น 3 คอลัมน์ ทำให้เสียพื้นที่ในแสดงเลเบลของช่องกรอกข้อมูล จึงแก้ปัญหาด้วยการแสดงเลเบลไว้ในช่องกรอกข้อมูลเลย ซึ่งผมเห็นว่าไม่ควรทำนะครับสำหรับการข้อมูลเยอะๆ เช่นนี้ ยิ่งคอลัมน์ตรงกลาง เสียดายพื้นที่นะ ฟอร์มที่นำเสนอซึ่งเปลี่ยนหัวข้อการกรอกข้อมูลเป็นเรื่องที่อยู่การจัดส่งสินค้า ถ้าให้ผมลองออกแบบปรับปรุงฟอร์ม ก็จะออกมาหน้าตาคร่าวๆ เช่นรูปด้านบนครับ โดยผมมีเปลี่ยน เลเบลไว้ด้านนอกช่องกรอกข้อมูล เปลี่ยนหัวข้อเดิมที่โฟกัสเรื่องที่อยู่จัดส่งใบเสร็จ เป็นเรื่องที่อยู่การจัดส่งสินค้าแทน เพราะลูกค้ากังวลเรื่องสินค้ามากกว่าบิลนะครับ บิลส่งมาไม่ถึงไม่เป็นไร ตามทีหลังได้ แต่สินค้าต้องถึงก่อน ช่องจังหวัดทำเป็น dropdown list โดยมีค่า default คือ กรุงเทพมหานคร เปลี่ยนตำแหน่งตัวเลือก checkbox ‘ที่อยู่จัดส่งบิลเหมือนกับที่อยู่การจัดส่งสินค้า’ ให้อยู่ใต้รหัสไปรษณีย์ไปเลย เพราะมันคือเรื่องเดียวกัน ต้องไว้ตำแหน่งใกล้ๆ กัน บางเว็บมีให้ยูสเซอร์กรอกรหัสไปรษณีย์ถัดจากข้อมูลที่อยู่เลย โดยระบบจะไปเช็คว่ารหัสไปรษณีย์นี้อยู่เขตไหน จังหวัดไหน ก็สะดวกดีนะครับ ถ้าทำได้ เช็คเอาท์จุดที่ 3: การชำระสินค้า ตัวเลือกการชำระเงินปลายทาง สำหรับผมในขั้นตอนการชำระเงิน ค่อนข้างไม่คิดมาก เพราะผมจ่าย 0 บ. ซึ่งเว็บมีตัวเลือกการจ่ายเงินให้เราจริงๆ อยู่ 2 ทางคือ จ่ายเงินปลายทาง (Cash on Delivery, COD) สำหรับคำสั่งซื้อที่ไม่เกิน 1,000 บ. นะ และ โอนเงิน ซึ่งหากต้องการหักภาษี ณ ที่จ่าย ต้องเลือกตัวเลือกนี้นะ ตัวเลือกการชำระเงินด้วยการโอนเงิน ที่ผมบอกว่ามีให้เลือกจ่าย 2 ช่องทางไม่ผิดหรอกครับ แม้เราจะเห็นตัวเลือกที่ 3 แต่พอผมลองเลือกตัวเลือกที่ 3 แล้ว (No payment information required) กลับไม่พบข้อมูลอะไรเลย ก็เลยไม่รู้มันคืออะไร ยังไงฝากทีมงานช่วยเอาตัวเลือกนี้ออกก็ดีครับ เดี๋ยวยูสเซอร์งงได้ เช็คตัวเลขที่ต้องจ่ายเรียบร้อยแล้ว ก็กดปุ่ม ยืนยันและอัพโหลดไฟล์ กันเลย เช็คเอาท์จุดที่ 4: อัพโหลดไฟล์ Popup แทรกเพื่อให้ข้อมูลเรื่องการอัพโหลดไฟล์ พอเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย ก็มี popup มาแสดงก่อนเลยครับ เป็น popup แสดงวิธีการอัพโหลดไฟล์ artwork ส่วนตัวผมก็ไม่ได้อ่านอะไรมากนัก แถมยังรู้สึกตกใจด้วยว่าทำไมถึงเลือกใช้ UI popup มาขัดขวางการใช้งานที่กำลังดำเนินการต่อเนื่องอย่างนี้หนอ ผมก็ปิด popup นี้ไป แล้วก็คลิกเลือกปุ่ม ‘UPLOAD ARTWORK’ จากนั้น ผมอยากลองของคือ ผมจะลองเลือกอัพโหลดไฟล์ AI ดู ว่าได้หรือเปล่า จำได้ไหมครับว่าในขั้นตอนแรกๆ เลย ผมเลือกรูปแบบไฟล์ Artwork เป็น PDF ดังนั้นในขั้นตอนนี้ ระบบควรจะขึ้นเตือนความจำผมว่า ให้อัพโหลดไฟล์ PDF เท่านั้นนะ แต่จากการทดลองพบว่า ผมสามารถอัพโหลดไฟล์ AI ได้ ก็เลยเป็นกังวลว่า ทางบริษัทจะคิดเงินผมเพิ่มหรือเปล่าเนี่ย ^^! หน้าจอแสดงผลเมื่อทำการอัพโหลดไฟล์ artwork เสร็จเรียบร้อย แล้วก็หน้าจอพออัพโหลดไฟล์เสร็จ ก็ไม่ได้แสดงข้อความอัพโหลดไฟล์เสร็จแล้วให้รู้สึกสบายใจเลย เพราะโดยปกติ หากระบบทำงานใดๆ สำเร็จ ก็จะขึ้นข้อความสีเขียวๆ แจ้งให้ยูสเซอร์ได้รับรู้ (Good feedback) แถมยังไม่เปิดโอกาสให้ยูสเซอร์แก้ไขไฟล์ที่อัพโหลดไปแล้วอีกต่างหาก มีแต่ลิงค์ดาวน์โหลด artwork ซึ่งไม่มีความจำเป็นเลยครับ เพราะเจ้าของไฟล์คือตัวเราเองใช่ไหมครับ แล้วเราจะโหลดไฟล์ของเราทำไมอีกล่ะ ในหน้าเช็คเอาท์ขั้นตอนนี้ จึงไม่ได้สร้างความรู้สึกให้กับผมเลยว่า ขั้นตอนทั้งหมดมันได้เสร็จสิ้นแล้วหรือยังเนี่ย ตามความเห็นของผม น่าจะมีอีกหน้าหนึ่งที่เรียกว่า Thank You Page ซึ่งเป็นหน้ารายละเอียดที่แสดงให้เห็นว่า ขั้นตอนการสั่งซื้อสินค้าเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว พร้อมขึ้นข้อมูลสรุปสินค้าที่สั่งซื้อ, ที่อยู่การจัดส่ง, วิธีการชำระเงิน, และยอดเงินที่ต้องชำระ พร้อมแสดงตัวอย่างไฟล์งานที่เราได้อัพโหลดขึ้นไปในระบบให้เห็นออกมา หน้าแสดงประวัติคำสั่งซื้อ อันที่จริงตัวอย่างการทำ UI ส่วนอัพโหลดนั้น ทีมงานก็ทำออกมาได้ดีอยู่แล้วในหน้าประวัติคำสั่งซื้อ ผมคิดว่าน่าจะลอก pattern หน้านี้ไปใส่แทนหน้าเช็คเอาท์ขั้นตอนอัพโหลดไฟล์ดีกว่าครับ เพราะมันชัดเจนกว่า และยอมให้อำนาจสิทธิ์ยูสเซอร์ในการเปลี่ยนไฟล์ หรือแม้กระทั่งลบไฟล์ artwork ได้ด้วย ท้ายของท้ายที่สุด ที่สำคัญมากๆ คือ การส่งอีเมลยืนยันคำสั่งซื้อ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าได้รับหลังจากขั้นตอนการชำระเงินหรือเปล่า? โดยเมลนี้จะทำให้ลูกค้าได้ทราบว่า ทางโรงพิมพ์ได้รับคำสั่งซื้อเป็นอันเรียบร้อย เหมือนการทวนคำพูดของลูกค้าอีกครั้งเพื่อความแน่ใจในความถูกต้องของทั้งสองฝ่าย โดยข้อมูลที่แสดงในเมลยืนยันนี้ สามารถนำมาทำเป็นหน้า Thank You ได้เลยนะครับ สรุปคะแนน ความสวยงาม: 9/10 (แนว Flat design, เลือกธีมสีเข้ากับตัวธุรกิจ, จัดวาง layout ได้ดี, เว็บดูน่าเชื่อถือ) การนำเสนอเนื้อหา: 8/10 (ครบถ้วนดีครับ มีทั้งบล็อค, FAQs, ตัวอย่างสินค้า, ลูกค้าตัวอย่าง, วิธีการสั่งพิมพ์) ฟังก์ชันการใช้งานหลัก: 7/10 (แบ่งเมนูได้น่าสนใจ เข้าใจง่าย, สามารถส่งคำสั่งซื้อได้จนถึงขั้นตอนอัพโหลดไฟล์โดยไม่ติดขัด, แต่ยังมีเรื่องลิงค์ขาดพอสมควร (Broken links) เช่น พอกดเลือกรูปสไลด์ตามภาพด้านบน จะพาไปหน้า Error 404 ตามเก็บงานส่วนนี้ไม่ยาก ลุยได้เลยนะครับ, ตัวเลือกการจ่ายเงินอันที่ 3 ไม่มีข้อมูลอธิบาย) ความถูกต้องตามหลัก UI/UX: 6/10 (UI มีความสอดคล้องกันดีทั้งเว็บ, ค่า default ยังไม่ดีพอ, มี popup มาขัดขวางขั้นตอนการอัพโหลดไฟล์, ควรเก็บตกเรื่องแปลภาษาในอีเมลที่ส่ง, ปุ่มและหัวข้ออีกหน่อยนึงนะ, มาเสียคะแนนเรื่องขั้นตอนเช็คเอาท์ซะเยอะเลย โดยเห็นว่าน่าจะมีหน้า Thank you ที่ให้ข้อมูลสรุปข้อมูลสินค้าและรายละเอียดอื่นๆ หมือนกับอีเมลยืนยันคำสั่งซื้อ ) การแสดงผลบนมือถือ: N/A (ไม่ได้รองรับ Responsive จึงไม่มีการประเมิน) ความคิดสร้างสรรค์: 9/10 (ชอบตารางการเลือกจำนวนที่จะพิมพ์พร้อมแสดงราคาซึ่งเป็นหัวใจหลักของธุรกิจ ดูๆ แล้วเหมือนกับตารางเลือกเที่ยวบิน พอนำมาใช้กับโรงพิมพ์ ค่อนข้างตอบโจทย์สิ่งที่ลูกค้าต้องการเลย, มีการแสดงตัวอย่างภาพสินค้า, ทำวิดีโอแสดงการสะท้อนของแสงสำหรับตัวเลือกงานพิมพ์ต่างๆ) ขอบคุณทีมงาน Gogoprint สำหรับสปอนเซอร์ที่ให้ผมได้ทดลองประสบการณ์โรงพิมพ์ออนไลน์ ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจมากๆ เลยครับ ซึ่งเปลี่ยนโฉมธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์เข้าสู่แพลทฟอร์ม e-commerce แบบเต็มตัว o(^^o) บริษัทหรือเจ้าของเว็บไหน สนใจบริการรีวิวเว็บ/app มือถือ ติดต่อมาที่อีเมล s.piyawit@gmail.com ได้เลยนะครับ รับรองเนื้อหาเข้มข้น ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายครับ ( ̄▽ ̄)ノ
คิดให้ปังดังทั่วโลกแบบนักเรียนสแตนฟอร์ด ตอนที่ 8: คิดประสบการณ์ใหม่ในการดื่มกาแฟ By uiblogazinerAugust 23, 20171
คิดให้ปังดังทั่วโลกแบบนักเรียนสแตนฟอร์ด ตอนที่ 7: เรียนรู้จากเจ้าของธุรกิจที่ชื่นชอบ By uiblogazinerAugust 1, 20170
คิดให้ปังดังทั่วโลกแบบนักเรียนสแตนฟอร์ด ตอนที่ 6: คิดสร้างสรรค์ด้วยการเล่นไพ่ By uiblogazinerJuly 25, 20170
คิดให้ปังดังทั่วโลกแบบนักเรียนสแตนฟอร์ด ตอนที่ 5: สร้างสินค้าใหม่ใน 30 นาที By uiblogazinerJuly 10, 20170